ไกรน์ / เดธ เมทัล สายพันธุ์พี้
***ข้อเขียนนี้ไม่ได้เผยแพร่เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้สารเสพย์ติดทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้เพื่ออ้างผลในการเล่นดนตรีหรือเขียนเพลง เป็นความเชื่อและประสบการณ์ส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***
เกือบยี่สิบสี่ห้าปีกับหกสตูดิโออัลบั้มเป็นจำนวนที่นับว่าน้อยไปก็ได้ของวงเมทัล โดยเฉพาะวงที่รวมตัวกันในช่วงเวลาที่เดธ เมทัลเฟื่องฟูอย่างเมทัลความจุห้าคนจาก Denver, Colorado อย่าง Cephalic Carnage วงที่ออกตัวเสมอว่าพวกเขาไม่ชอบการแสดงออกด้วยอีโก้และตีเข้มเสียเต็มประดามีของเมทัลเฮด Leonard Lenzig Leal นักร้องนำและสมาชิกยุคก่อตั้งของวงออกตัวเสมอว่าเดธ เมทัลแบบเขาคือดนตรีที่ทำแล้วมีความสุข ยิ้มๆเยิ้มๆ แต่สุดตีน อนุมานได้ว่า Cephalic Carnage อาจนับเป็นวงเดธ เมทัลลูกผสมที่ทำตัวเฮฮาที่สุดคณะหนึ่ง
‘พวกเราพยายามจะให้ทุกการแสดงเริ่มต้นจากการตอบสนองความคาดหวังไปสู่บางอย่างที่เราให้กับคนดูได้ แล้วค่อยเติมไปให้มากขึ้นมากขึ้น คนฟังมักเข้าใจว่าการดูการแสดงสดของวงเมทัลต้องเดือดดาลและเต็มพลังตั้งแต่เพลงแรก ไม่เอาน่า มันยากไปสำหรับพวกเรา ฮ่า พวกเราไม่ได้ต้องเล่นในอารมณ์เดียวกับวงที่เราร่วมเวทีด้วยเสมอไป เมื่อคุณต้องแสดง คุณต้องปั่นอารมณ์ของตัวเองขึ้นมา ถ้าทำไม่ได้คนดูก็ไม่รู้สึกร่วมไปหรอก และการปั่นอารมณ์คนดูแบบของผม เอาแบบอย่างผมอะนะ คือการปุ๊นก่อนแล้วค่อยเริ่มเพลงแรก ดนตรีที่คุณเขียนมันดุดันบ้าคลั่งแค่ไหนก็ได้ แต่ในการแสดงคุณต้องใส่ใจและต้องรู้จะเติมวิญญาณไปในเพลงพวกนั้นด้วย สูตรใครก็สูตรใคร บางครั้งคนดูก็แบบ พวกเอ็งเล่นเหียกอะไรกัน แต่บางครั้งพวกเขาก็แบบ เฮ้ย แหล่มเลย ก็แล้วแต่ความเข้าใจของแต่ละคน ผมเพียงพยายามจะให้คนฟังได้ดูการแสดงสดที่ไม่ใช่แค่คลั่งหรือสับแหลกด้วยซาวด์โหดๆอย่างเดียว’ Leal กล่าว
Zac Joe เป็นมือกีตาร์คนแรกและสมาชิกร่วมตั้งวงของ Cephalic Carnage ที่ Leal ยกย่องว่าเขาคือพลังงานหลักในการทำงานเพลงของเขารวมตัวกันเพราะ Joe อยากปั่นส่วนเขาอยากแหกปาก ทั้งสองคนทำอีพีเดโมแรกของวง ‘Scrape My Lungs’ ออกมาในปี 1993 แล้วก็หยุดไปใช้ชีวิตวัยรุ่นจนมาจับงานดนตรีหนักกันอีกครั้งในปี 1996 ด้วยการเติม Doug Williams (เบส), John Merryman (กลอง) และ Steve Goldberg (กีตาร์) เข้ามาเป็นสมาชิกประจำ นี่คือคณะบุคคลแรกอย่างเป็นทางการของวง ผลงานแรกที่ร่วมกันสร้างคืออีพีขนาดหกเพลงในชื่อ ‘Fortuitous Oddity’ ในปี 1994 ก่อนจะไปถูกใจ Headfucker Records สังกัดที่เน้นปล่อยงานไกรด์คอร์จากอิตาลี จนลงเอยกันกับอัลบั้มแจ้งเกิดของวง ‘Conforming To Abnormality’ ในปี 1998 (เดิมทีอัลบั้มนี้มีแค่แปดเพลง อันที่ผลิตขายใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการไม่ใช่บู้ทเลกในปี 2008 จะรวมเอางานอื่นจากยุคแรกของวงทั้งที่เคยรวมไว้ในผลงานอื่นและที่ค้นเจอทีหลังไว้ด้วย)
‘ตอนนั้นพวกเราไม่มีแผนอะไรกับการทำงานเพลง แค่รู้สึกว่า เออ มันต้องทำแล้วแหละ ด้วยความจำเป็นเราต้องการแค่ได้เงินจากที่ลงทุนค่าใช้จ่ายที่ลงไปแค่นั้น จนเราเจอ Headfucker Records จากคำแนะนำของเพื่อน ผมส่งงานให้พวกเขาไปโดยกำชับไปว่าเราต้องการเงินสดเพื่อใช้หนี้ ไม่เอาแบบส่งซีดีที่ผลิตให้ฟรีไปขายเอาตังค์คืนเอาเอง และต้องการทราบทุกอย่างว่าจะเกิดอะไรขึ้นในผลงานที่ออกขาย แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไปหลังจากที่พวกเขาได้งานไปแล้ว จนวันหนึ่งมีจดหมายมาถามว่า จะให้ส่งซีดีไปที่ไหน ห่าราก ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า ปกก็แย่ คุณภาพการผลิตก็เห่ย พวกเราขอไปหนึ่งหมื่นเหรียญสำหรับทั้งหมดและการให้คำอนุญาตเพื่อผลิตไม่ใช่อะไรแบบนี้ หลังจากนั้นมา ผมเชื่อถือในการตกลงทางธุรกิจของค่ายเพลงที่อ้างตัวว่าดีไอวายน้อยลง การตกลงคือการสร้างข้อตกลงและต้องเป็นไปด้วยความยินยอมทั้งสองฝ่าย แต่ที่ผมเจอจากครั้งนี้มันไม่ใช่’ Leal เล่าถึงประสบการณ์ที่เขาผลุสวาทว่าโดนตุ๋ยจากการเจรจาธุรกิจครั้งแรกของวง
สองปีให้หลังจากผลงานแรกวางแผง Cephalic Carnage เป็น Relapse Records ที่เสนอตัวมาเป็นเจ้าภาพและจัดจำหน่ายให้กับงานลำดับต่อมาของวง ด้วยเห็นฝีมือกันในโชว์ที่ทางวงออกเดินสายสนับสนุนอัลบั้มแรก Jawsh Mullen มือเบสที่มาแทน Williams ซึ่งออกไปร่วม Origin (โคตรเทคนิคัลเดธเมทัลอีกวงที่เริ่มงานในยุคนั้น) การเติม Mullen เข้ามาในวงทำให้เนื้องานของ Cephalic Carnage ชัดเจนขึ้นมาอย่างถนัดหูภายใต้ช่วงที่อยู่กับ Relapse Records และมี Mullen คุมงานเบส
Exploiting Dysfunction (2000), Lucid Interval (2002) และ Anomalies (2005) คือสามอัลบั้มที่ Mullen ร่วมงานกับวง ความโดดเด่นของผลงานในยุคนี้ คือการเล่นเดธเมทัลในวิธีนำเสนอแบบไกร์น คอร์ ทุกอัลบั้มมีการใส่เสียงประกอบที่ตัดมาจากต่างแหล่งข้อมูล ทั้งการกระชากจังหวะของบางเพลงหรือการประเคนมันทุกสรรพเสียงที่จะเล่นออกมาด้วยกันได้ใส่ลงไป จนกลายเป็นความแปลกที่ลงตัวด้วยความหนักหน่วงของเดธ เมทัล หลายวงไกร์ดคอร์ช่วงนั้นอาจจะได้มาจากฮาร์ดคอร์ พั้งก์ แต่ Cephalic Carnage มาจากอีกต้นสถานี ถ้าลงลึกที่รายละเอียดส่วนของการร้องจะเห็นว่าด้วยการปะติดปะต่อกันจนได้แต่ละเพลง งานโพสต์-โปรดักชั่นมีส่วนสำคัญมาก อย่างใน Anomalies เสียงร้องจะถูกมิกซ์ออกมาให้เป็นสองระดับความดังที่ฟังได้ชัดเจนคือเสียงตะเบ็งกับเสียงสำรอก Leal เล่าว่า Dave Otero โปรดิวเซอร์ที่ทำงานกับพวกเขาตั้งแต่ผลงานชุด Lucid Interval เสนอความคิดว่า ถ้าพวกเขาไม่ยึดติดกับสไตล์ที่ทำในชุดก่อน แต่อยากเน้นความเป็นไปในแต่ละอัลบั้มให้ชัดตามไอเดียที่เขียนเพลงได้ในขณะนั้น เหมือนนักเขียนที่เขียนหนังสือในสไตล์ที่แตกต่างกันแต่ละเล่ม การทำงานในส่วนของโพสต์-โปรดักชั่นที่กล้าทดลองจะนำเสนอได้ดีกว่า ซึ่ง Cephalic Carnage ก็รับความคิดนั้น
‘Dave เป็นเพื่อนของพวกเรา เราร่วมจ้อยต์กันเสมอเวลาทำงาน Flatline เป็นเหมือนบ้านของเรา ไม่มีสตูดิโอที่ไหนใน Denver ที่ดีกว่าที่นี่อีกแล้ว’ Leal ยกย่องยอดโปรดิวเซอร์และที่ทำงานให้เขา จะว่าไปแล้ว Dave Otero เป็นหนึ่งในคนสำคัญของซีนเมทัลในย่านภูมิศาสตร์กลางประเทศ (Coloarado เป็นรัฐที่ได้รับฉายาว่าสะดือของทวีปตามตำแหน่งที่ตั้ง) Leal ให้ความเห็นว่าการทำงานเพลงเดธ เมทัลแบบที่ Otero ทำเป็นนิสัยคือการพูดคุยกับวงอย่างละเอียดก่อนลงมือว่าทางวงต้องการให้คนฟังได้ยินอะไร หลายวงมาพร้อมกับการทำงานที่ไม่ต้องทำอะไรเลยแค่อัด อัด อัดแล้วก็มิกซ์ จบงานกลับบ้านได้ แต่ในขณะที่หลายวงเช่น Cephalic Carnage จะมาหาเขาพร้อมกับคำถามว่าแบบนี้จะออกมาได้แบบไหน หรือทำแบบนี้แบบนั้นได้ไหม ซึ่งทั้งฝ่ายคนควบคุมงานผลิตและคนเขียนเพลงก็ทำงานกันจนรู้ขารู้คอ แต่อย่างนั้นก็ตามการที่ใช้เวลาทำงานร่วมกันในสตูดิโอเป็นเวลานานมากไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ประสบการณ์ในการทำงานกับ Otero สอนให้พวกเขาแบ่งการทำงานของ Anomalies ออกเป็นสองช่วง โดยไล่งานกันยาวตั้งแต่ต้นพฤศจิกายนถึงคริสมาสต์ปี 2004 อีกอย่างที่เหมือนจะแปรผันตรงกับเวลาที่ค่อนข้างนานในการทำงานด้วยก็คือ Otero หยุดงานทุกวันเสาร์ วันที่พวกเขาใช้ซ้อมเพลงและเขียนเพลงกัน
ครั้งหนึ่งในบทสัมภาษณ์ของ Jawsh Mullen เขาเล่าถึงการทำงานกับอดีตวงไว้ว่า การตั้งเป้าหมายว่าอัลบั้มไหนจะออกมาสไตล์ไหน ไม่ใช่ภาษาที่ Cephalic Carnage ใช้ทำงาน ในความเห็นของเขา Anomalies เป็นความผิดปกติสมชื่อที่เลือกมาใช้ เพราะมันไม่ใช่ปกติวิสัยของการทำงานเพลงที่เขารู้มาเลย ตั้งแต่การอัดไลน์เบสที่แตกต่างกันในแต่ละเพลงแล้วมาเทียบกันว่าแทร็คที่อัดอันไหนจะเหมาะกว่ากัน ที่ว่าไม่ใช่วิสัยปกติเพราะมันไปเพิ่มชั่วโมงในห้องอัดซึ่งก็ทำงานต้นทุนทางการผลิตสูงขึ้นด้วย (ซึ่งผมเดาว่า Flatline Studio น่าจะให้ราคาพิเศษกับลูกค้าเก่าวงนี้) อีกอย่างที่เติมเข้ามาของ Cephalic Carnage คือการใส่ท่อนร้องเสียงคลีนที่พอจะฟังออกเข้าไปด้วยการร้องประสานของ Jawsh Mullen และนี่ยังเป็นอัลบั้มที่มีแขกรับเชิญมาร่วมงานเยอะที่สุด ซึ่งแต่ละเบอร์ก็มากประสบการณ์ทั้งนั้น (ขอละไว้ให้หามาฟังกันดูครับ)
ช่วงร่อยต่อระหว่างอัลบั้ม Lucid Interval และ Anomalies เป็นอีกช่วงที่สำคัญของวงและเป็นการแสดงจุดยืนครั้งแรกอย่างเป็นทางการว่า Cephalic Carnage เป็นวงเมทัลที่เล่นเมทัลแบบใดก็ได้มากกว่าเป็นเมทัลสายฆ่าไม่เลี้ยง ‘Halls Of Amenti’ อีพีเพลงเดียวขนาด 19 นาทีที่ใช้ชื่อเพลงมาเป็นชื่ออีพีเป็นพยานวัตถุที่ว่าวงนี้มันไปเรื่อยของมันจริงๆ ด้วยเป็นการทำเขียนเพลงที่ไม่ติดกับชื่อเก่า เพราะ Halls Of Amenti เป็นดูมเมทัล ที่ครั้งแรกพวกเขาตั้งใจจะใส่เป็นโบนัสแทร็คแต่เพราะมันยังไม่พร้อมดีเลยเขียนกันมาเรื่อยๆจนออกมาเป็นหนึ่งอีพีที่ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากทั้งสื่อและแฟนเพลง จนทางวงประกาศออกมาในปี 2003 ว่าจะทำเป็นซีรี่ส์คั่นระหว่างอัลบั้มอีกแน่นอน แต่จนแล้วจนรอด Halls Of Amenti ก็เป็นดูม เมทัลเพลงเดียวที่ Cephalic Carnage ทำออกมา เพราะอีพีนี้ที่ออกในปี 2002 นี้คืออีพีล่าสุดที่ออกของวง แม้ว่า Mullen เคยให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาเขียนไตรภาคดูมเมทัลไว้แล้ว อันนี้คือภาคแรก ภาคสองจะชื่อ Babylon และภาคจบจะชื่อ The Trauchlin Hall
Leal เคยเล่นมุกในบทสัมภาษณ์ว่าสาเหตุที่พวกเขาไม่คิดจะทำดูม เมทัลอีกในเวลาอันใกล้นี้เพราะเขารู้สึกว่าการเปิดดูม เมทัลฟังขณะต้องเบียดกันในรถเพื่อเดินสายทัวร์มันทำให้ระยะทางดูไกลขึ้น นานขึ้น ซึ่งไม่สบอารมณ์ พวกเขาเลยไม่คิดจะทำมันอีก นอกจากสามอัลบั้มที่อ้างไปตอนต้นแล้ว หลังจากที่ทางวงได้ Nick Schendzielos มารับงานเบสแทน Mullen ด้วยเหตุผลส่วนตัวทางดนตรี ความเป็นเทคนิคัลของวงก็ชัดขึ้น จะเรียกได้ว่าเป็น Cephalic Carnage ในยุคใหม่ก็ได้ ถ้าไม่มองว่างานเพลงในยุคของมือเบสคนไหนดีกว่ากัน การลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับ Dave Otero เป็นสิ่งที่แฟนขอวงนี้พึงกระทำ ในเหตุที่ช่วยพัฒนาผลงานจนได้ยินชัดถึงความเปลี่ยนแปลงของวงอย่างถนัดหูในสองอัลบั้มหลัง, Xenosapien (2007) และ Misled By Certainty (2010) ที่ยังมีมาตรฐานตามแบบของวงไม่ได้เปลี่ยนสไตล์ไปตามสมัยนิยม
ยุคของ Jaws Mullen บางสื่อดนตรีนิยามไกร์นเดธแบบที่ได้ยินว่า ‘สำเนียงของรีแลปส์’ ด้วยหลายวงที่ร่วมสังกัดก็เสนอผลงานออกมาประมาณนี้ ในช่วงนั้นผลงานแต่ละอัลบั้มที่ Relapse Records วางแผงมักเป็นผลงานที่มีซาวด์เฉพาะที่จะแน่นก็ไม่แน่นแบบอัดกระแทก ที่จะพริ้วก็พริ้วด้วยสำเนียงเดธ เมทัลที่กีตาร์นำอย่างฟลอริด้า เดธเมทัลก็ไม่แค่มีกีตาร์เป็นพระเอกแล้วกลองไล่ฟาดตามกันมา คือเมื่อเรียงอัลบั้มที่ออกโดย Relapse Records ในช่วงนั้นมาฟังทีละชุดจะพบว่ามีการนำเสนอที่เฉพาะกว่า ไม่ว่าวงนั้นจะหนักไปทางเทคนิคัล เดธเมทัล ชัดไปทางไกร์ดคอร์ หรือสายหนักกบาลแบบทดลองก็ตาม ความแปลกคือสามารถฟังข้ามวง ข้ามชุดได้ไม่หลุดอารมณ์สักเท่าไหร่นัก จะว่า Relapse Records มีรสนิยมเฉพาะในการเลือกจะนำวงมาร่วมสังกัดก็ไม่ผิดความนัก
‘ผมคิดว่าคนฟังสามารถรับอิทธิพลมาจากอะไรก็ได้ หรือรับมันมาทั้งหมดก็ได้ บางทีคุณไม่ต้องการแรงบันดาลใจจากเพลงของวงอื่นเพื่อเขียนเพลงหรอก ของแบบนี้มันออกมาเอง สำหรับผมในฐานะคนเขียนเพลงเมทัล มันเหมือนกับการกลับไปหารากของตัวเอง ผมเคยฟังอะไร เคยรู้สึกว่า เฮ้ย นี่แม่งเข้าท่า หรือ ห่าราก อะไรวะเนี่ย ข้อมูลเหล่านั้นมันจะรอให้ผมย้อนกลับไปหยิบมาขบคิดงานเพลงเสมอ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมทัลเฮดจะได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่มันไม่ใช่เมทัล’ Leal กล่าว พร้อมเสริมต่อว่า ‘การทดลองจำเป็นมากสำหรับการทำงานเพลง คุณต้องซ้อมและทำงานร่วมกันให้หนักเพื่อให้เห็นสิ่งใหม่ พวกเราใช้เวลาสี่เดือนกับการเขียน Xenosapien ผมคิดเสมอว่าที่ต้องทำคือการเขียนเพลง Queen แบบเดธ เมทัล ช่วงนั้นพายุหิมะเข้ามาหนักเป็นพิเศษ หิมะกว่าเมตรทำให้พวกเราต้องวางแผนการเดินทางจากบ้านไปสตูดิโอในแต่ละวันให้ดี แต่ละวันเมื่อเริ่มลงมือปรับเพลงให้ลงตัวกันแล้วพวกเราก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา แม่งอย่างเร่ง และเป็นต้องเร่งแบบให้งานออกมาโหดอย่างที่สุดด้วย’
เปรียบมวยสองผลงานหลังสุดของตั้งแต่ Schendzielos เข้ามาร่วมงาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสำนวนเมทัลของพวกเขาวัยรุ่นขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะบทบาทของเขาที่ชาวคณะคนเดิมๆมอบให้ค่อนข้างมากด้วย แต่อีกอย่างคือแม้ Xenosapien จะตามสมัยขึ้นแต่ก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์เก่านักจนเมื่อ Brian Hopp มารับหน้าที่ขุนขวานร่วมกับ Goldberg ด้วย Zac Joe มือกีตาร์ผู้ร่วมก่อตั้งวงอิ่มตัวกับงานเพลงและการออกทัวร์ไม่สัมพันธ์กับชีวิตส่วนตัว ความเป็นเดธ เมทัลซาวด์ร่วมสมัยก็ชัดขึ้นใน Misled By Certainty ผลงานลำดับล่าสุดที่นับถึงวันนี้ Cephalic Carnage ก็ห่างงานเพลงไปหกปีครึ่งแล้ว
‘พวกเรามันสายปาร์ตี้ ผมชอบบรรยากาศหลังเวที เราสนุกไปได้กับทุกคน เพื่อนร่วมเวที ทีมงาน คนจัด คนดูหรือแม้แต่ใครก็ไม่รู้ที่เจอตอนเดินทาง การแสดงดนตรีสดไม่ใช่เรื่องของ อ้าว เฮ้ย ข้ามาแล้ว ข้าจะเล่นแล้ว มามา มาดูกัน แต่มันหมายถึงการสื่อสารกับคนดูด้วย บรรยากาศในการแสดงสำคัญนะ เมทัลเป็นภาษาของมัน บางคนอาจจะชอบโชว์เหนือ บางคนก็ชอบโชว์โหด พวกเราทำได้หมด’ Leal พูดไว้ในทัวร์ยุโรปเมื่อปี 2012 เพื่อสนับสนุนการผลิตและจัดจำหน่ายใหม่ Lucid Interval
วีรกรรมวีรเวรที่ Cephalic Carnage ถูกนำไปเล่าในตลอดหลายปีที่ออกทัวร์มานี้เป็นเรื่องชวนหัวและขันไปได้กับการเสียดสีอย่างมีชั้นเชิงของวง ทั้งการเดินสายช่วงปี 2008 ที่เล่นสนุกด้วยการเพ้นท์หน้าศพ หรือ Corpse Paint แบบที่ชาวแบล็ค เมทัลทำกันทั้งยังใส่ชุดหนัง หนามปลอม เข็มขัดกระสุนด้วย มีเพียงแต่การบ่นจากพวกเขาเองว่าแม่ง ยุ่งยากฉิบในแต่ละโชว์ ก่อนที่จะล้อเอาสนุกคล้ายๆกันอีกรอบด้วยการซื้อหน้ากากมาเพ้นท์หน้าแบบแบล็คเมทัลไว้แล้วใส่ขึ้นเวที Leal เป็นคนออกไอเดียนี้ด้วยเห็นว่ามันน่าจะเอาหนึ่งมุกจากคนดูได้ อีกความแสบสันต์ที่หาดูได้จากการแสดงของพวกเขาคือ ในระหว่างโชว์ที่คนดูชกกันจู่ๆสมาชิกของวงก็สลับมาเล่นอินโทรเพลง Eye Of The Tiger ของคณะ Survivor หรือคือเพลงที่ใช้เดินขึ้นเวทีของ Rocky Balboa ตัวละครนักมวยชื่อดังจากยอดภาพยนตร์ ซึ่งคลิปนี้สามารถหาชมได้จาก Youtube ครับ
‘การออกทัวร์เป็นงานที่ผมชื่นชอบ ผมชอบสมดุลของชีวิตนักดนตรีที่ต้องเดินทางกับชีวิตของคนปกติที่อยู่ติดที่ มีงานประจำทำ เป็นวงจรชีวิตที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันเวลาที่คุณเบื่อเมืองที่อาศัย เบื่องาน เบื่อครอบครัวคุณจะคิดถึงการออกทัวร์แล้วก็ทำงานเพลงเพื่อให้ได้ออกทัวร์ เมื่อออกทัวร์ไปเหนื่อยไปเจอความล้าจากการเล่นดนตรีคุณจะคิดถึงบ้าน Summer Slaugher 2010 เป็นการออกทัวร์ที่สุดตีนที่สุดแล้ว มีแต่เพื่อนพ้องเจ็ดสิบกว่าชีวิตไปด้วยกัน ไม่มีดารา ไม่มีอีโก้แค่คนที่ชอบดนตรีแบบเดียวกันไปเจอคนดูครึ่งทวีป แต่ละคืนมากกว่าหลายร้อยบางคืนหลักพัน ทุกอย่างดีมากเว้นแต่การเดินทางที่เหนื่อยมากไปจากการขับรถ และพอขับรถทางไกล เมื่อเสร็จจากการแสดงบนเวทีคุณก็แทบไม่อยากคุยกับใครแล้ว’ Schendzielos มือเบสและสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของวงกล่าว หลังจากร่วม Cephalic Carnage ได้ไม่นาน หมอก็ได้งานเป็นมือเบสให้ Job For A Cowboy อีกวง ที่ว่ากันว่าไปเห็นลีลากันจากการเดินสายทัวร์ด้วยกันในปากคำนี้
Leal และ Schendzielos เป็นคู่หูคู่เมาของวงมาตั้งแต่มือเบสคนนี้มาร่วมงาน เป็นเรื่องปกติของ Cephalic Carnage ที่ก่อนวงจะขึ้นเวทีทุกครั้งพวกเขาจะบรรจุความเมาจากกัญชาเข้าตัวเองก่อนเสมอ ฉายา Rocky Mountain Hydro Grind หรือ ไกรด์คอร์สายพี้จากเทอกเขาร็อคกี้ ไม่ได้มาเพราะอวยตัวเอง พวกเขาทำมันเป็นกิจวัตรมาตั้งแต่ขวบปีแรกของวง เติมไปเตรียมไปคงเป็นนิยามที่ชัดที่สุดของวงในชั่วโมงก่อนขึ้นเวที Leal บอกว่าเขาดื่มแอลกอฮอลล์บ้าง แต่ถ้าเลือกได้การใช้กัญชาตอบโจทย์กว่า การได้ยินเสียงชัดขึ้น ไม่หนักหัวและเมื่อเทียบกันการออกฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์มีผลลบกับการเล่นดนตรีมากกว่า ส่วน Schendzielos บอกว่าการสูบกัญชากับสูบบุหรี่ก็ส่งผลเสียต่อการเล่นดนตรีต่างกัน เขาว่าบุหรี่เน้นการบริโภคในปริมาณมากมวนต่อวันในขณะที่สายเขียวสูบน้อยครั้งกว่า ก็เลยมีผลกับสุขภาพปอดน้อยกว่า และสำหรับนักดนตรีแล้วปอดสำคัญมากไม่ว่าคุณจะเล่นตำแหน่งอะไรเพราะมันช่วยให้สมรรถภาพของร่างกายทนกับการยืนระยะบนเวทีด้วย
....
สองเมษายนปีที่แล้วคือครั้งล่าสุดที่ Cephalic Carnage ขึ้นเวที คุยกันในกลุ่มแฟนเพลงของ Relapse Records ว่าพวกเขามีเพลงที่พร้อมจะพัฒนาต่อเป็นอัลบั้มตั้งแต่ช่วงนั้น และน่าจะออกอัลบั้มใหม่มาได้แล้วตั้งแต่ปีกลาย สมาชิกชุดที่ขึ้นเวทีในโชว์ล่าสุดที่ประเทศไอซ์แลนด์ประกอบด้วย Leal, Merryman และ Goldberg ในฐานะอาวุโสของวง Schendzielos ที่เหมือนจะเป็นแอดมินของวงในตอนนี้ซึ่งก็ยังควงอีกงานกับ Job For A Cowboy ด้วย ส่วน Hopp มือกีตาร์อีกคนของวงก็มีงานเป็นกีตาร์ เทคนิเชี่ยนเป็นงานหลัก เหมือนไม่มีทีท่าชัดเจนว่า Cephalic Carnage วงที่ประดิษฐ์ชื่อวงมาจากความหมายที่แปลว่า ‘ก่อนจะคลั่งจนหัวระเบิดคุณจะทนสารเคมี/ ยาเสพย์ติดได้แค่ไหน’ จาก Rocky Mountain วงนี้จะกลับมาเสิร์ฟของหนักอีกเมื่อไหร่ เพราะนี่ก็สมควรแก่เวลาแล้วที่พวกเขาจะกลับมาทำงานกันอีกชุดให้ฟังได้แล้ว